Fallingwater House อินทรียสถาปัตยกรรมในอ้อมกอดของธรรมชาติ

ในโลกของสถาปัตยกรรม ไม่มีใครไม่รู้จัก Frank Lloyd Wright (1867-1959)สถาปนิกผู้เป็นตำนานแห่งการออกแบบที่แตกต่างและมีเอกลักษณ์ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติ แรงบันดาลใจ และความศรัทธาเหนือสรรพสิ่งใดๆ

โดยหนึ่งในผลงานสร้างสรรค์ที่โดดเด่นตอบโจทย์แนวคิดในการใช้ธรรมชาติเป็นศูนย์กลาง นั่นคือ Fallingwater House ผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่ Frank Lloyd Wright ออกแบบไว้เมื่อปี 1935 และยังคงมีเรื่องราวให้เหล่าสถาปนิกรุ่นใหม่ได้ศึกษา และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงพิพิธภัณฑ์ให้แก่ผู้ที่โหยหาธรรมชาติ

มาทำความรู้จัก Fallingwater Houseกันว่าทำไมจึงได้รับการยกย่องให้เป็นงานสถาปัตยกรรมที่มีชั้นเชิงด้านศิลปะอย่างแท้จริง จนถูกจัดอันดับให้เป็นผลงานยอดนิยมที่คนอเมริกันชื่นชอบตลอดกาล (America’s Favorite Architecture of all times)

สถาปัตยกรรมอมตะของ Frank Lloyd Wright

ในปี 1935 Frank Lloyd Wrightได้รับมอบหมายให้ออกแบบบ้านพักตากอากาศให้กับครอบครัวตระกูล Kaufmann ในเมือง Mill Run ซึ่งเป็นเขตชนบทของแถบตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีโลเคชั่นเด่นอยู่ที่ธารน้ำตกธรรมชาติ Bear Run ตัวละครสำคัญที่ทำให้จินตนาการของ Wright บรรเจิดไกลเกินกว่าความคิดของสถาปนิกในยุคเดียวกัน ด้วยการสร้างบ้านคร่อมธารน้ำตก

Wright ออกสำรวจไซต์ก่อสร้างอย่างละเอียดเพื่อดูการเรียงตัวของหินทุกก้อนบริเวณน้ำตก จังหวะการเหลื่อมทับกัน ขนาดพื้นที่ของก้อนหิน ฯลฯ ก่อนกลับมาวางแปลนบ้านเพื่อให้รบกวนสภาพแวดล้อมที่มีอยู่เดิมให้น้อยที่สุด หรือรักษาความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุดนั่นเอง พร้อมทั้งใส่รายละเอียดต่างๆ ทั้งโครงสร้าง รูปทรงอาคารภายนอก จนถึงฟังก์ชั่นและวัสดุตกแต่งพื้นที่ภายในให้แนบเนียนไปกับธรรมชาติได้อย่างสวยงามลงตัว จนกลายเป็นต้นแบบของแนวคิดอินทรียสถาปัตยกรรม หรือ Organic Architecture ที่มุ่งเน้นการออกแบบให้ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการอยู่อาศัยของมนุษย์สอดสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียว เสมือนอวัยวะแต่ละส่วนของร่างกายที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ได้

Photography by /:\ Road Warrior /:\ https://www.flickr.com/photos/chelseask

ทุกตางรางนิ้วคือรายละเอียด

Fallingwater House คือบ้านที่เปี่ยมด้วยรายละเอียด เริ่มตั้งแต่การออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรมด้วยระบบคานยื่นรับน้ำหนักคอนกรีต (Cantilever Beam) ที่สร้างอยู่บนพื้นผิวน้ำตกเพื่อทำเป็นระเบียงยื่นออกไปถึง 30 ฟุตได้อย่างสวยงาม โดยไม่มีโครงสร้างเสาให้เกะกะสายตาอีก จึงดูเหมือนว่าระเบียงของบ้านนั้นลอยอยู่เหนือธารน้ำและเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

ตัวบ้านแบ่งฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างเป็นสัดส่วน ได้แก่ Main House ซึ่งเป็นส่วนพักอาศัยหลักของครอบครัวที่เน้นความเป็นส่วนตัวสูง ใช้การออกแบบแบบ Open Floor Plan เพื่อเชื่อมต่อพื้นที่โดยปราศจากกำแพงกั้น ทำให้ได้มุมมองและบรรยากาศที่สบาย ไม่อึดอัด และอีกส่วนคือ Guest Wing สำหรับต้อนรับแขกผู้มาเยือน โดยปล่อยพื้นที่ส่วนใหญ่ให้สามารถสัมผัสกับแนวลำธาร ด้วยการใช้กระจกใสแผ่นใหญ่เพื่อลดความถี่ของกรอบวงกบและปรับระดับฝ้าให้สูงเพียง 190 เซนติเมตรเพื่อบังคับองศาและระยะการมองของคนที่อยู่ด้านในให้พุ่งตรงไปที่ทัศนียภาพภายนอกนั่นเอง

Photograph by Christopher Little, courtesy of the Western Pennsylvania Conservancy

นอกจากนี้ Wright ยังใส่ดีเทลลงไปที่วัสดุที่เน้นตอบรับกับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นผนังเล่นลวดลายเหมือนหิน การลงแว๊กซ์พื้นจนเงาวาวให้ความรู้สึกเหมือนเป็นหินที่มีน้ำในลำธารไหลผ่าน การใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ Built-in กลมกลืนกับผืนป่ารอบนอก หรือการเติมไฟเรืองแสงด้านหลังโซฟาที่ถูกจินตนาการราวกับว่าเป็นแสงพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสกับธรรมชาติทุกวันเวลา

กว่า 3 ปี (1936-1939) ในการทุ่มเทสร้างสรรค์ Fallingwater House จนสำเร็จถือเป็นการทำงานที่คุ้มค่าที่ทำให้ชื่อของ Frank Lloyd Wrightขึ้นแท่นเป็นตำนานแห่งวงการสถาปัตยกรรมโลก ซึ่งปัจจุบัน Fallingwater Houseยังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้สาธารณชนเข้าเยี่ยมชมสัมผัสแนวความคิดของ Wright ที่ยังคงร่วมสมัย และเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้ต่อยอดและพัฒนาผลงานในหลากหลายมิติ พร้อมยกระดับการใช้ชีวิตในอ้อมกอดของธรรมชาติด้วยความเคารพ เรียบง่ายและงดงามที่สุด

และทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไมใครหลายคนจึงยกย่องให้ Fallingwater House คือผลงานที่สวยที่สุดของ Frank Lloyd Wright หรือแม้แต่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ควรจะไปเยี่ยมชมก่อนตายสักครั้ง

#DetailsMakeMagic #Design #NirvanaHome #NirvanaDaii #NirvanaLivingRevolution