“ไม้” วัสดุที่เป็นมากกว่าความรู้สึกแห่งความอบอุ่น

Other channel

01/02/2022

“ไม้” วัสดุที่เป็นมากกว่าความรู้สึกแห่งความอบอุ่น

ความสบายใจ ความผ่อนคลาย และความอบอุ่น รวมไปถึงการช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ความรู้สึเหล่านี้ล้วนถ่ายทอดมากจากวัสดุที่เรียกว่า “ไม้” งานสถาปัตยกรรมในสมัยโบราณและสมัยใหม่ที่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย รวมถึงมีการใช้วัสดุใหม่ๆมาเป็นส่วนประกอบของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก คอนกรีต อลูมีเนียม ทราย อิฐมวลเบา แต่ละวัสดุที่กล่าวมานั้นต่างก็ให้ผิวสัมผัสและความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป แต่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ร้อยปี กี่ยุคกี่สมัย วัสดุหนึ่งที่เหล่านักออกแบบหรือสถาปนิกมักนำมาใช้อยู่เป็นประจำนั่นคือ “ไม้” เนื่องจากไม้เป็นวัสดุที่สามารถหาได้ง่าย มีการปลูกต้นไม้เพื่อทดแทนได้ สถาปนิกหลายคนจึงมักนิยมนำวัสดุไม้มาใช้ในงานสถาปัตยกรรมอยู่บ่อยครั้งทั้งการออกแบบตกแต่งภายในและภายนอก การนำไม้เข้ามาตกแต่งบ้านนอกจากจะทำให้บ้านดูอบอุ่นและเป็นธรรมชาติมากขึ้นแล้ว ยังช่วยลดความแข็งกระด้างของวัสดุอื่นๆ เช่น ปูน,อิฐ,เหล็ก ได้เป็นอย่างดี ทำให้บ้านนั้นมีความสวยงามสบายตามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ไม้ยังสามารถนำมาใช้ได้กับทุกส่วนของอาคารไม่ว่าจะเป็น พื้น , ผนัง , ฝ้า ,ระแนง วงกบประตู-หน้าต่าง และเฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงยังสามารถเข้ากับสไตล์การออกแบบได้หลากหลายสไตล์อีกด้วย ทั้ง Modern , Nordic , Tropical Modern , Contemporary , Loft และอื่นๆอีกมากมาย

แต่นอกจากความเอนกประสงค์ของการใช้ไม้ที่เข้ามาเป็นส่วนประกอบภายในบ้านแล้ว ไม้ยังช่วยสร้างความผูกพันกับธรรมชาติให้กับคนที่อยู่อาศัยอีกด้วย ซึ่งความผูกพันกับธรรมชาติ ในสภาวะปัจจุบันที่ผู้คนจมอยู่กับความเครียดจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เราใช้เวลามากไปกับการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ในการทำงาน ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยกระดับความกังวลของผลกระทบที่มีต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ จากการที่ผู้คนตัดขาดจากธรรมชาติ จนได้มีงานวิจัยในต่างประเทศ ทำการวิจัยถึงสภาวะทางจิตใจของผู้อยู่อาศัยในบ้านที่มีส่วนประกอบของธรรมชาติอยู่ภายในบ้านและนอกบ้าน พบว่า การเข้าไปอยู่ในพื้นที่สีเขียวที่เต็มไปด้วยต้นไม้ หรือแม้กระทั่งการให้ดูภาพธรรมชาติอยู่ในห้องหรือได้เห็นวัสดุที่เป็นไม้ สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการคิดวิเคราะห์ได้ จนถึงขั้นลดพฤติกรรมการเห็นแก่ตัว เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ช่วยให้ลดระดับความเครียด ช่วยให้มีสุขภาพจิตดี มีความสุขมากขึ้น และยิ่งใช้เวลาเกี่ยวข้องกับธรรมชาติมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ดีก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ในประเทศญี่ปุ่นก็เช่นกัน หน่วยงานป่าไม้ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับ “การบำบัดจิตใจด้วยป่า” โดยให้ผู้ร่วมทดลองนับร้อยคนเข้าป่าเป็นประจำและเปรียบเทียบผลกับคนอีกกลุ่มที่ใช้เวลาอยู่ในเมืองเป็นหลัก ซึ่งได้ผลลัพย์ออกมาว่า ธรรมชาติมีผลต่อสุขภาพจิตโดยตรง ธรรมชาติสามารถทำให้ระดับความดันเลือดลดลง อัตราการเต้นของหัวใจคงที่มากขึ้น ชีพจร ฮอร์โมนส์และเคมีในสมอง เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จนสามารถสรุปได้ว่า น้ ดิน ไม้ ต้นไม้ ธรรมชาติในป่านั้น ล้วนสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้เราได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของธรรมชาติที่มีต่อสมองซึ่งพบว่า “ธรรมชาติสามารถกระตุ้นสมองได้ 3 ส่วน” คือ 1.Executive area สมองส่วนที่คิดวิเคราะห์สถานการณ์ 2.Spatial network สมองส่วนที่ทำหน้าที่ตอบสนองต่อสัญญาณจากประสาทสัมผัสต่างๆ ทั้งการมองเห็น การได้ยิน กลิ่น 3.Default network สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงกับพฤติกรรม และหนึ่งในงานวิจัยที่ได้ศึกษานี้ นักวิจัยได้ทำการศึกษา ความเกี่ยวโยงของธรรมชาติและโรคสมาธิสั้น ส่งผลกระทบต่อเด็กๆอย่างไร โดยผลในงานวิจัยพบว่า เด็กที่เอาแต่อยู่ในบ้านส่วนใหญ่ จนแทบจะไม่ได้ออกไปเจอต้นไม้หรือมีประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมที่มีธรรมชาติล้อมรอบตัว จะมีพฤติกรรมที่หุนหันพลันแล่น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ไม่มีสมาธิและซน ในทางกลับกันกลุ่มเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นที่มีโอกาสได้สัมผัสกับธรรมชาติ ได้สัมผัสผิวไม้ ได้เห็นสีของต้นไม้ ใบไม้ จะแสดงอาการลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด จากที่กล่าวมาตลอดบทความ รวมไปถึงตัวอย่างงานวิจัยจากต่างประเทศ เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า “ไม้” วัสดุจากธรรมชาติ มีความสำคัญต่อบ้านที่เราอาศัยอย่างไร ไม่ใช่เพียงแต่การตกแต่งที่สวยงามและดูสบายตาเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจว่าทำไม สถาปนิกหลายคนนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังคงนำไม้มาใช้เป็นส่วนประกอบในการออกแบบบ้านเสมอ

ค้นหาตัวตนของคุณจากทุกโครงการ

สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่ม>>nirvana.ly/proudtobeyou

#ProudToBeYou

#เพราะชีวิตออกแบบได้

facebook-msn