ในยุคที่โลกถูกทำให้แคบลงด้วยอินเตอร์เน็ต อุปกรณ์โมบาย และระบบคลาวด์ ทำให้เงื่อนไขในการทำงานไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในออฟฟิศและไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาอีกต่อไป แต่มนุษย์ทำงานสามารถผลิตผลงานได้เกือบทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นเช็คเมล์ตอนเย็นที่บ้าน นั่งทำงานในร้านกาแฟระหว่างรอประชุม หรือแม้กระทั่งเจรจาปิดจ๊อบบนรถไฟฟ้าที่กำลังวิ่งอยู่
จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตามความสะดวกสบายที่เข้ามา ทำให้เส้นแบ่งระหว่างชีวิตงานกับชีวิตส่วนตัวที่เคยพูดกันในหลายปีที่ผ่านมาอย่าง Work-Life Balance กลายเป็นเรื่องล้าสมัย เพราะในทางปฏิบัติจริงในสถานการณ์ยุคดิจิตอลเช่นนี้จะมีคนทำงานสักกี่คนที่สามารถแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้อย่างสิ้นเชิง และนั่นทำให้เกิดการปรับนิยามใหม่สู่ “Work-Life Integration”
อะไรคือ Work-Life Integration
Work-Life Integration เป็นแนวคิดการทำงานแบบผสานงานกับการใช้ชีวิตเข้าด้วยกันชนิดที่ "ไร้รอยต่อ" เป็นการบริหารจัดการลำดับความสำคัญของเวลางานและครอบครัวตามความเหมาะสม โดยนำใช้เทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ ทั้งโทรศัพท์สมาร์ทโฟน อินเตอร์เน็ต และระบบคลาวด์มาเป็นตัวช่วยให้การทำงานเกิดขึ้นได้อย่างไร้ข้ออ้างใดๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงานก็ทำเรื่องส่วนตัวได้ หรืออยู่บ้านก็สามารถทำงานได้เช่นกัน
ชีวิตดีๆ เมื่อไร้เส้นแบ่งงานและครอบครัว
นักจิตวิทยา Maria Sirois บอกว่าการทำงานและใช้ชีวิตแบบ Work-Life Integration ก่อให้เกิดความเครียดน้อยกว่าการทำงานและใช้ชีวิตแบบ Work-Life Balance เนื่องจากการสร้างสมดุลคือการแบ่งเวลาอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งการใช้ความพยายาม เวลา และพลังในการโฟกัสทั้งงานและบ้านให้บาลานซ์นั้นแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ หรือได้แค่เพียงคาดเดาเท่านั้น ในขณะที่ Work-Life Integration คือการมองเห็นภาพรวมของตัวเองที่เกิดขึ้นในหนึ่งวัน ไม่แบ่งแยกว่านี่คือตัวเราที่ออฟฟิศ นี่คือตัวเราที่บ้านจึงส่งผลให้รู้สึกเติมเต็มในชีวิตได้มากกว่า และผลพวงจากความเครียดลดลงก็ทำให้เกิดความร่วมมือ มีพลังใจ และมีประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น
Work-Life Integration ยังเอื้อประโยชน์ต่อคนทำงานที่ต้องควบบทบาทการเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองได้ด้วย ที่ผ่านมามีการสำรวจพบว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานต้องเผชิญปัญหาขัดแย้งระหว่างงานกับความรับผิดชอบในครอบครัวอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เลยทีเดียว อีก 33 เปอร์เซ็นต์ของผู้ปกครองมักกังวลว่าพวกเขาให้เวลากับลูกๆ ไม่เพียงพอ และร้อยละ 40 ของกลุ่มแรงงานผู้หญิงเกิดสภาวะมีบุตรช้า ซึ่งหากองค์กรพยายามบังคับให้คนทำงานกลุ่มนี้ต้องเลือกระหว่างครอบครัวหรือหน้าที่การงานก็อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียแรงงานที่มีคุณภาพได้ ดังนั้น Work-Life Integration จึงเป็นทางออกที่ตอบโจทย์ได้ทั้งองค์กรและเหล่าคนทำงานที่มีครอบครัวแล้วให้หลุดจากสภาพรักพี่เสียดายน้องได้อย่างดี
Work-Life Integration กับการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร
ปัจจุบันตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยนถ่ายสู่กลุ่มมิลเลนเนียลส์ซึ่งมีความสนใจเรื่อง Work-life Integration เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้องค์กรเองก็ต้องปรับตัวตามไปด้วย Gallup หนึ่งในบริษัททำสำรวจความคิดเห็นชั้นนำของโลกแนะนำว่าบริษัทควรให้ตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นหรืออนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของพนักงานว่าจะอยู่ต่อหรือลาออกจากองค์กร และยังพบว่าพนักงานส่วนใหญ่ยินดีถูกลดเงินเดือนเล็กน้อยเพื่อแลกกับการได้นั่งทำงานอยู่ที่บ้าน
ช่องว่างของการทำงาน (Work) ชีวิต (Life) และสิ่งที่ชอบ (Play) ผสานต่อกันยังส่งอิทธิพลให้พื้นที่สำนักงานมีขนาดกะทัดรัด เน้นพื้นที่ใช้สอยเพื่อการทำงานร่วมกันผ่านเทคโนโลยีทันสมัยทั้งโมบายและการเชื่อมต่อ ตลอดจนสร้างบรรยากาศการตกแต่งให้เหมือนบ้านที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย อบอุ่น มีชีวิตชีวาเพื่อดึงดูดให้คนเข้ามานั่งผลิตผลงานในออฟฟิศได้อย่างสบายใจ เสมือนเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของคนทำงานที่มุ่งส่งเสริมให้เกิด “ความสุข” สร้างประสิทธิภาพการทำงาน และเติมเต็มความหมายบนเส้นทางอาชีพและการใช้ชีวิตให้สมบูรณ์แบบ
Nirvana @Work โฮมออฟฟิศเพื่อการทำงานของเจนเนอเรชั่นใหม่ พร้อมผสานองค์ประกอบชีวิตทั้ง Work / Life / Play เข้าไว้เป็นหนึ่งเดียว ด้วยพื้นที่การทำงานยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ตามการใช้งานจริง และรองรับการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาติดตั้งเพื่อปลดปล่อยอิสรภาพแห่งการทำงาน และมุ่งสู่ความสำเร็จได้ใกล้กว่าเดิม
#DetailsMakeMagic #Design #NirvanaHome #NirvanaDaii